ดีปลี
ด้วยความอนุเคราะห์และสนับสนุนข้อมูลจาก
มูลนิธิสุขภาพไทย
สมุนไพรที่ใช้ๆ กันอยู่นั้น โดยมากมักจะมีชื่อเรียกหลายชื่อ ชื่อบางชื่อจะมีนัยบ่งบอกถึงลักษณะของสมุนไพรชนิดนั้นๆ บางชื่อก็จะมีนัยถึงสรรพคุณของมันอย่างเช่นดีปลี ในทางอายุรเวทเรียกว่าปีปปะลี (Pippali)ซึ่งมีความหมายว่า สิ่งที่ช่วยปกป้องและเพิ่มเติม อันมีนัยถึงคุณค่าในทางยาที่ช่วยปกป้องจากความเจ็บป่วย และเติมสุขภาพที่ดีให้ร่างกาย นอกจากนี้ดีปลียังมีชื่อเรียก อื่นๆ อีกหลายชื่อ เช่น กฤษณะ (Krshna) ซึ่งแปลว่า ดำ บ่งบอกถึงดอกสีดำของดีปลีหรือจะแปลว่าชะล้างออก ก็ได้ บอกถึงสรรพคุณในการชะล้างความเจ็บป่วยจากร่างกายเรา ดีปลี ถือเป็นสมุนไพรตัวสำคัญตัวหนึ่งที่ใช้ในทาง อายุรเวทมาแต่โบร่ำโบราณ
ในคัมภรีร์อายุรเวท ที่อธิบายเกี่ยวกับยาสมุนไพร บรรยายเกี่ยวกับดีปลี ว่ามีรสเผ็ดร้อน มีคุณสมบัติเบา (หมายถึง ย่อยง่าย) ชุ่มชื้น มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร ขับลม แก้ไข้ อีกทั้งยังเป็นยาอายุวัฒนะ และบำรุงร่างกาย ที่ดีอีกด้วย
ดีปลี ออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารและระบบหายใจได้ดี จึงถูกจัดเป็นตัวยาสำคัญตัวหนึ่ง ในตำรับยาหลายขนานที่ใช้แก้ปัญหาเรื่องกระเพาะลำไส้ เช่น อาหารไม่ย่อย มีลมในกระเพาะมาก ท้องอืดเฟ้อ รวมทั้งเป็นตัวยาสำคัญในตำรับยาแก้โรคเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น แก้หวัด หอบหืด หลอดลมอักเสบ ไม่นับโรคเรื้อรังอย่างเช่น ข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ ไข้รูมาตอยด์ เป็นต้น
ในเมืองไทยนั้น คนส่วนใหญ่จะรู้จักดีปลีว่า เป็นตัวยาตัวหนึ่งในตำรับยาที่เปรียบเสมือนสามทหารเสือ ที่เรียกว่า ตรีกฏุ ซึ่งประกอบด้วยสมุนไพรสามชนิด คือ พริกไทย ดีปลี และขิงแห้ง อาจเป็นไปได้ที่ไทยเราได้ ตำรับยาตรีกฏุนี้มาจากอายุรเวทของอินเดียเช่นกัน เพราะยาตรีกุฏนั้นถือเป็นยาตำรับคลาสสิคของอายุรเวทเลยก็ว่า ได้ คำว่าตรีกุฏในภาษาสันสกฤตมีความหมายว่า สิ่งที่มีรสเผ็ดร้อนสามชนิด ซึ่งก็คือ ตัวยาสามตัวในตำรับที่ว่านั่น เอง
ยาตำรับนี้มีสรรพคุณช่วยบำรุงไฟธาตุ หรือช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยย่อยสลาย สารอาหารตกค้าง ที่ร่างกายย่อยสลาย และดูดซึมไม่ได้ แล้วไปสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งจะกลายเป็นบ่อเกิดของความเจ็บป่วยได้ หากสารอาหารตกค้างที่ว่านี้ สะสมในร่างกายมากๆ ยาตรีกฏุมีสรรพคุณช่วยย่อยสารอาหารตกค้างที่ว่านี้ได้ แถมยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมอาหารรวมทั้งยาที่เรากินเข้าไปได้ดีขึ้น
นอกจากดอกดีปลีที่เรารู้จักดีแล้ว ในอินเดียวยังแนะนำให้ใช้รากดีปลีด้วยเช่นกัน และมีข้อแนะนำว่าควรใช้ดอกดีปลีแห้งที่เก็บไว้ประมาณหกเดือนถึงหนึ่งปี หากนานกว่านั้นสรรพคุณจะเสื่อมลง
เราสามารถใช้ประโยชน์จากดีปลี ในการปรุงยาเข้ายาอีกหลายขนานที่จะช่วยดูแล บำบัดปัดเป่าโรคและอาการเจ็บป่วยให้พอทุเลาลงได้ดังต่อไปนี้
ใช้ดอกดีปลีล้างให้สะอาด บดหรือตำพอหยาบๆ ครึ่งแก้ว ว ต้มกับน้ำสี่แก้ว ต้มให้เหลือน้ำหนึ่งแก้ว จากนั้นกรองเอาแต่น้ำยา กินวันละ 2 ครั้ง ขณะท้องว่าง ช่วยแก้ไข้เรื้อรังหรือไข้ที่เป็นๆ หายๆ และยังช่วยลดอาการม้ามโตด้วยใช้ดอกดีปลี 20 กรัม ต้มรวมกับนม 200 ซีซี และน้ำ 800 ซีซี ต้มให้เหลือ 200 ซีซี จากนั้นกรองเอากากทิ้ง เมื่อยาเย็นแล้วให้กินร่วมกับน้ำผึ้ง จะช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับหัวใจ แก้ไอ และไข้ขึ้นๆ ลงๆ ได้
ผู้ที่มีปัญหาเรื่องริดสีดวงทวาร โดยมีอาการคันร่วมด้วย ขอแนะนำให้กินเมล็ดงาดำ(ดิบ) 20 กรัมผสมรวมกับดอกดีปลี 10 ดอก บดให้ละเอียดกินร่วมกับนมหนึ่งแก้ว วันละ 1 ครั้ง กินนานประมาณ 15 วัน
คนที่มีปัญหาเรื่องท้องอืด ไอ กระเพาะลำไส้อักเสบ หากกินผงดีปลีผสมน้ำผึ้งบ่อยๆ จะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้
ผงดีปลีและผงสมอไทยอย่างละ 5 กรัม ผสมให้เข้ากันดี กินกับน้ำอุ่น 1 แก้ว วันละ 2 ครั้ง ช่วยลดอาการ เสียงแห้งได้
ผงดีปลี 1 ส่วน ลูกเกด(สีดำ) บดให้ละเอียด 2 ส่วน น้ำตาลทรายแดง 3 ส่วน เคี่ยวรวมกันและคนให้เข้ากันดี เคี่ยวจนยาเหนียวข้นดีแล้วเก็บใส่ภาชนะสะอาด กินครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ เป็นยาบำรุงโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ
ในยุคที่คนไทยต้องร่วมใจกันช่วยชาติ ทำอะไรต้องให้ได้ประโยชน์สูง ประหยัดสุดเช่นนี้ เรายังมีสมุนไพรดีๆ อีกหลายอย่างที่จะมาช่วยดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจของเรา ขอเพียงอย่าเมินเฉยกับสิ่งดีๆ ใกล้ตัวเท่านั้น บ้านเมืองเราไปรอดแน่นอน
ชื่อวิทยาศาสตร์:: Piper retrofractum Vahl
มูลนิธิสุขภาพไทย
สมุนไพรที่ใช้ๆ กันอยู่นั้น โดยมากมักจะมีชื่อเรียกหลายชื่อ ชื่อบางชื่อจะมีนัยบ่งบอกถึงลักษณะของสมุนไพรชนิดนั้นๆ บางชื่อก็จะมีนัยถึงสรรพคุณของมันอย่างเช่นดีปลี ในทางอายุรเวทเรียกว่าปีปปะลี (Pippali)ซึ่งมีความหมายว่า สิ่งที่ช่วยปกป้องและเพิ่มเติม อันมีนัยถึงคุณค่าในทางยาที่ช่วยปกป้องจากความเจ็บป่วย และเติมสุขภาพที่ดีให้ร่างกาย นอกจากนี้ดีปลียังมีชื่อเรียก อื่นๆ อีกหลายชื่อ เช่น กฤษณะ (Krshna) ซึ่งแปลว่า ดำ บ่งบอกถึงดอกสีดำของดีปลีหรือจะแปลว่าชะล้างออก ก็ได้ บอกถึงสรรพคุณในการชะล้างความเจ็บป่วยจากร่างกายเรา ดีปลี ถือเป็นสมุนไพรตัวสำคัญตัวหนึ่งที่ใช้ในทาง อายุรเวทมาแต่โบร่ำโบราณ
ในคัมภรีร์อายุรเวท ที่อธิบายเกี่ยวกับยาสมุนไพร บรรยายเกี่ยวกับดีปลี ว่ามีรสเผ็ดร้อน มีคุณสมบัติเบา (หมายถึง ย่อยง่าย) ชุ่มชื้น มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร ขับลม แก้ไข้ อีกทั้งยังเป็นยาอายุวัฒนะ และบำรุงร่างกาย ที่ดีอีกด้วย
ดีปลี ออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารและระบบหายใจได้ดี จึงถูกจัดเป็นตัวยาสำคัญตัวหนึ่ง ในตำรับยาหลายขนานที่ใช้แก้ปัญหาเรื่องกระเพาะลำไส้ เช่น อาหารไม่ย่อย มีลมในกระเพาะมาก ท้องอืดเฟ้อ รวมทั้งเป็นตัวยาสำคัญในตำรับยาแก้โรคเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น แก้หวัด หอบหืด หลอดลมอักเสบ ไม่นับโรคเรื้อรังอย่างเช่น ข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ ไข้รูมาตอยด์ เป็นต้น
ในเมืองไทยนั้น คนส่วนใหญ่จะรู้จักดีปลีว่า เป็นตัวยาตัวหนึ่งในตำรับยาที่เปรียบเสมือนสามทหารเสือ ที่เรียกว่า ตรีกฏุ ซึ่งประกอบด้วยสมุนไพรสามชนิด คือ พริกไทย ดีปลี และขิงแห้ง อาจเป็นไปได้ที่ไทยเราได้ ตำรับยาตรีกฏุนี้มาจากอายุรเวทของอินเดียเช่นกัน เพราะยาตรีกุฏนั้นถือเป็นยาตำรับคลาสสิคของอายุรเวทเลยก็ว่า ได้ คำว่าตรีกุฏในภาษาสันสกฤตมีความหมายว่า สิ่งที่มีรสเผ็ดร้อนสามชนิด ซึ่งก็คือ ตัวยาสามตัวในตำรับที่ว่านั่น เอง
ยาตำรับนี้มีสรรพคุณช่วยบำรุงไฟธาตุ หรือช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยย่อยสลาย สารอาหารตกค้าง ที่ร่างกายย่อยสลาย และดูดซึมไม่ได้ แล้วไปสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งจะกลายเป็นบ่อเกิดของความเจ็บป่วยได้ หากสารอาหารตกค้างที่ว่านี้ สะสมในร่างกายมากๆ ยาตรีกฏุมีสรรพคุณช่วยย่อยสารอาหารตกค้างที่ว่านี้ได้ แถมยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมอาหารรวมทั้งยาที่เรากินเข้าไปได้ดีขึ้น
นอกจากดอกดีปลีที่เรารู้จักดีแล้ว ในอินเดียวยังแนะนำให้ใช้รากดีปลีด้วยเช่นกัน และมีข้อแนะนำว่าควรใช้ดอกดีปลีแห้งที่เก็บไว้ประมาณหกเดือนถึงหนึ่งปี หากนานกว่านั้นสรรพคุณจะเสื่อมลง
เราสามารถใช้ประโยชน์จากดีปลี ในการปรุงยาเข้ายาอีกหลายขนานที่จะช่วยดูแล บำบัดปัดเป่าโรคและอาการเจ็บป่วยให้พอทุเลาลงได้ดังต่อไปนี้
ใช้ดอกดีปลีล้างให้สะอาด บดหรือตำพอหยาบๆ ครึ่งแก้ว ว ต้มกับน้ำสี่แก้ว ต้มให้เหลือน้ำหนึ่งแก้ว จากนั้นกรองเอาแต่น้ำยา กินวันละ 2 ครั้ง ขณะท้องว่าง ช่วยแก้ไข้เรื้อรังหรือไข้ที่เป็นๆ หายๆ และยังช่วยลดอาการม้ามโตด้วยใช้ดอกดีปลี 20 กรัม ต้มรวมกับนม 200 ซีซี และน้ำ 800 ซีซี ต้มให้เหลือ 200 ซีซี จากนั้นกรองเอากากทิ้ง เมื่อยาเย็นแล้วให้กินร่วมกับน้ำผึ้ง จะช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับหัวใจ แก้ไอ และไข้ขึ้นๆ ลงๆ ได้
ผู้ที่มีปัญหาเรื่องริดสีดวงทวาร โดยมีอาการคันร่วมด้วย ขอแนะนำให้กินเมล็ดงาดำ(ดิบ) 20 กรัมผสมรวมกับดอกดีปลี 10 ดอก บดให้ละเอียดกินร่วมกับนมหนึ่งแก้ว วันละ 1 ครั้ง กินนานประมาณ 15 วัน
คนที่มีปัญหาเรื่องท้องอืด ไอ กระเพาะลำไส้อักเสบ หากกินผงดีปลีผสมน้ำผึ้งบ่อยๆ จะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้
ผงดีปลีและผงสมอไทยอย่างละ 5 กรัม ผสมให้เข้ากันดี กินกับน้ำอุ่น 1 แก้ว วันละ 2 ครั้ง ช่วยลดอาการ เสียงแห้งได้
ผงดีปลี 1 ส่วน ลูกเกด(สีดำ) บดให้ละเอียด 2 ส่วน น้ำตาลทรายแดง 3 ส่วน เคี่ยวรวมกันและคนให้เข้ากันดี เคี่ยวจนยาเหนียวข้นดีแล้วเก็บใส่ภาชนะสะอาด กินครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ เป็นยาบำรุงโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ
ในยุคที่คนไทยต้องร่วมใจกันช่วยชาติ ทำอะไรต้องให้ได้ประโยชน์สูง ประหยัดสุดเช่นนี้ เรายังมีสมุนไพรดีๆ อีกหลายอย่างที่จะมาช่วยดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจของเรา ขอเพียงอย่าเมินเฉยกับสิ่งดีๆ ใกล้ตัวเท่านั้น บ้านเมืองเราไปรอดแน่นอน
ชื่อวิทยาศาสตร์:: Piper retrofractum Vahl