หัวผักกาดขาว: มีรสเผ็ดหวาน คุณสมบัติเย็น (เป็นยิน) ช่วยย่อย แก้ไอมีเสมหะ ไม่มีเสียง อาเจียนเป็นโลหิต ท้องเสีย
เมล็ด: มีรสเผ็ดหวาน คุณสมบัติเป็นกลาง แก้ไอมีเสมหะ และหืด ช่วยให้ย่อย ท้องเสีย
ใบ: มีรสเผ็ดขม คุณสมบัติเป็นกลาง ช่วยย่อย เจ็บคอ ท้องเสีย ขับน้ำนม
2. เสียงแห้งไม่มีเสียง: คั้นน้ำหัวผักกาดขาว แล้วเติมน้ำขิงเล็กน้อยดื่ม
3. ไฟไหม้น้ำร้อนลวกหรือโดนสะเก็ดไฟ: ตำหัวผักกาดขาวให้แหลกแล้วพอกบริเวณที่เป็น หรือจะใช้เมล็ดทำให้แหลกแล้วพอกก็ได้
4. ฟกช้ำดำเขียว (ไม่เป็นแผล): ใช้หัวหรือใบดำให้ละเอียดแล้วพอกบริเวณที่เป็น หรือใช้เมล็ด 60 กรัม ตำให้ละเอียด คลุกกับเหล้า (อุ่นให้ร้อน) พอกบริเวณที่เป็น
5. แผลในปาก: คั้นน้ำหัวผักกาดขาวแล้วใช้บ้วนปากบ่อยๆ
6. หวัด: ต้มหัวผักกาดขาวดื่มน้ำ
7. ไอ: หัวผักกาดขาวพอประมาณใส่ขิงและน้ำผึ้งเล็กน้อยต้มดื่มน้ำ
เมล็ด มีไขมัน เช่น: -Erucic acid, Linolenic acid และ Glycerol sinapate เป็นต้น น้ำมันหอมระเหยที่สำคัญคือ Methyl mercaptan นอกจากนี้ยังมีสารที่ยับยั้งแบคทีเรีย คือ Raphanin
สารที่มีฤทธิ์เป็นกรดในหัวผักกาดขาวเมื่อฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง หนูตะเภาในปริมาณ 3 กรัม/กก. หรือฉีดเข้าท้องในปริมาณ 2 กรัม/กก. ไม่ได้แสดงพิษใดๆ แต่ถ้าฉีดเข้าได้ผิวหนังกระต่ายในปริมาณ 1 กรัม/กก. จะเกิดพิษเล็กน้อยเพียงชั่วคราวนอกจากนี้มีรายงานว่า น้ำที่คั้นจากหัวผักกาดขาวสามารถป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี หรือใช้กับผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี
2. เมล็ดหัวผักกาดขาวมีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย สาร Raphanin ในเมล็ด ในปริมาณความเข้มข้น 1 มก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้ง Staphylococcus และ Colibacillus อย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ยังมีผลต่อการงอกของเมล็ดพืช ทุกชนิดด้วย ได้มีการสกัดน้ำมันชนิดหนึ่งจากเมล็ดหัวผักกาดขาว เรียก Sulforaphen ที่มีความเข้มข้น 1% มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของ Streptococcus, Micrococcus pyogenes,
3. ฤทธิ์ในการยับยั้งฟังไจ: น้ำที่ได้จากการแช่เมล็ดหัวผักกาดขาว (1: 3) มีฤทธิ์ยับยั้งTrichophyton concentricum และฟังไจที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง 6 ชนิด ในระดับต่างๆ กัน
หัวผักกาดขาวมี Mustard oil ซึ่งมีรสเผ็ด เมื่อสารนี้รวมกับเอนไซม์ในหัวผักกาดขาว มีฤทธิ์กระตุ้นให้กระเพาะอาหารและลำไส้เคลื่อนไหว ทำให้กินอาหารได้มากขึ้น และยังช่วยย่อยอาหารอีกด้วย ดังนั้นหลังกินอาหารจำพวกเนื้อหรือของมันๆ ควรกินหัวผักกาดขาวสักเล็กน้อย
เนื่องจาก Amylase ในหัวผักกาดขาวไม่ทนต่อความร้อน จะถูกทำลาย ณ อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส นอกจากนี้วิตามินซีก็ไม่ทนต่อความร้อนสูง ดังนั้นจึงควรกินหัวผักกาดขาวดิบๆ
ขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของหมอชาวบ้าน กับเว็บไซต์วิชาการดอทคอม
www.doctor.or.th