ค้นหา

ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Dragon Blood (เลือดมังกร)


History of Dragon Blood
Dragon Blood (เลือดมังกร) คือ สารธรรมชาติจากยางดิบของต้น ( Croton Lechleri ) หรือ ( Sangre de Grado) ซึ่งมีคุณสมบัติมากมาย ในการรักษาผิวพรรณและด้วยสรรพคุณที่โดดเด่น ในการช่วยสมานแผล สมานผิว ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ชาวเปรูยกย่องให้เป็น The Magic Tree พืชมหัศจรรย์ที่มีแหล่งกำเนิดจากป่าดงดิบอะมาซอน ประเทศเปรู ซึ่งในอดีตชนชาวอินคา หรือชนพื้นเมืองชาวเปรูผู้มีความรอบ รู้อย่างลึกซึ้ง ได้นำเอาพืชสมุนไพรมาประยุกต์ใช้ในการบำบัดรักษา ดูแล ผิวพรรณมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ ค.ศ.1400 และยังคงเป็นศาสตร์ อันเก่าแก่ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษสู่ รุ่นลูก รุ่นหลาน ในยุคปัจจุบัน
เรื่องราวของ Dragon Blood (เลือดมังกร) ได้ถูกบันทึกครั้งแรกใน ปี ค.ศ. 1600 โดยชาวสเปนผู้พิชิตเปรูได้เรียนรู้จากชนพื้นเมืองว่ายางไม้ จากต้นเลือดมังกร มีสรรพคุณในการช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และในเวลาต่อมาก็ได้มีการค้นพบอีกว่า ยางไม้จากต้นเลือดมังกร นั้นสามารถนำมาใช้รักษา และมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูสภาพผิวได้ อีก นานัปการ

ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นทำให้เลือดมังกรเป็นที่รู้จัก และถูกใช้กัน อย่างแพร่หลายในหมู่ชาวเปรูและชนชาวอเมริกาใต้จวบจนปัจจุบัน แต่เหตุที่มิได้แพร่กระจายไปสู่ภูมิภาคอื่น ก็ด้วยปริมาณที่มีไม่มากนักนั่นเพราะ หาได้เฉพาะในแถบป่าอะมาซอนเท่านั้น และด้วยความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ซึ่งมีกฎเกณฑ์ของเวลาเป็นตัวกำหนด ชาวเปรูใช้ประโยชน์ของ เลือดมังกรได้อย่างวิเศษ ก็เพราะพวกเขาใช้ในเวลาที่ธรรมชาติกำหนดไว้ หลังจากนั้นก็เสื่อมสลายไป แต่ปัจจุบันมนุษย์สามารถคงคุณค่าความ มหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ให้มีชีวิตยืนยาวขึ้นได้ด้วยนวัตกรรมสุดไฮเทค ที่เรียกว่าไบโอเทคโนโลยี ซึ่งสามารถรักษาคุณค่าอันลึกล้ำของวัตถุดิบ ตามธรรมชาติให้คงประสิทธิภาพไว้ได้ ทำให้เลือดมังกร เปลี่ยนผ่านสู่จุด แห่งการนำ คุณประโยชน์ของความมหัศจรรย์ที่มีอยู่ไปสร้างคุณค่าให้กับผู้คนในแถบภูมิภาคอื่นๆ ได้ รวมถึงชาวเอเชีย และชาวไทยในวันนี้Dragon Blood (เลือดมังกร) คือ สารธรรมชาติจากยางดิบของต้น

Dragon Blood (เลือดมังกร) คุณค่าแห่งความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ของยางไม้สีแดง ที่ชนชาวอินคา หรือชนพื้นเมืองชาวเปรู และคนทั่วทั้ง ทวีปอเมริกาใต้ค้นพบ และนำมา ใช้กันอย่างแพร่หลายในการรักษาฟื้นฟู ดูแลผิวพรรณนานัปการ ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น ในการมีส่วนช่วยสมานแผลสมานผิว ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Dragon Blood (เลือดมังกร) จึงถูกยกย่องว่าเป็นพืชมหัศจรรย์ซึ่งยังคงเป็นศาสตร์อันเก่าแก่ที่สืบทอด จากบรรพบุรุษ ชาวอินคาจากรุ่นสู่รุ่นตราบจนปัจจุบัน

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สมุนไพรเพื่อความงามสำหรับผิวหน้า


ใบหน้า คือ ด่านแรกที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจของผู้พบเห็น แต่หลายๆคนกำลังประสบปัญหาผิวหน้าไม่เรียบสวย เพราะเม็ดสิวและรอยแห้งกร้านด้วยจุดด่างดำของกระและฝ้า จนต้องเสียเงินทองมากมายเพื่อเข้าสถานเสริมความงาม หรือหาซื้อยามารักษา จึงอยากแนะนำให้ใช้สมุนไพรพืชผักและผลไม้ที่มีอยู่ทั่วไป แต่มีคุณประโยชน์มากมายทั้งวิตามิน แร่ธาตุ และสารบำรุงผิวธรรมชาติที่ช่วยดูแลผิวพรรณให้ชุ่มชื้นผ่องใสอ่อนไวอยู่เสมอ

1. ว่านหางจระเข้ (Aloe indica Royle)
คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางหลายอย่าง ที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึม ทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ฉะนั้น ว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้ เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่า ว่านหางจระเข้มีส่วนช่วย ให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำได้ด้วยการใช้ว่านหางจระเข้ เพื่อบำรุงผิว โดยปอกเปลือกออก ใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใส ที่อยู่ภายใน ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบว่า ตนเองจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาว ของว่านหางจระเข้ ทาตรงบริเวณโคนหู แล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดง แสดงว่าแพ้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวหน้าอีกต่อไป ถ้าไม่มีอาการแพ้ ก็สามารถใช้ได้ตลอด แต่บางคนก็จะเห็นผลได้เหมือนกัน เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว จะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว
นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังสามารถลดความแห้งกร้าน และลดความมันของผิวหน้าได้ โดยคนที่มีผิวมัน ก็จะช่วยให้ลดความมัน คนที่มีผิวหน้าแห้ง ก็ยังรักษาความชุ่มชื่นของผิวไว้ได้

2. งา (Sesamum indicum Linn. S. 
orientle. L)
เป็นพืชล้มลุก ให้เมล็ดเป็นจำนวนมาก เมล็ดงามีทั้งสีดำ และสีขาว ในเมล็ดงามีน้ำมันอยู่ ประมาณ 45-54% น้ำมันงามีกลิ่นหอมน่ารับประทาน วิธีใช้ โดยการนำเอาเมล็ดงาสด มาบีบน้ำมันงาออก โดยไม่ผ่านความร้อน ใช้ทาผิวหนัง เพื่อบำรุงผิวพรรณ ให้ผุดผ่อง ช่วนประทินผิวให้นุ่มนวล ไม่หยาบกร้าน

3. แตงกวา (Cucumis sativas Linn.)
จะมีวิตามินสูง ในผลแตงกวายังมีเอ็นไซม์ cryssin ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนได้ เอ็นไซม์ชนิดนี้ จะช่วยย่อยผิวหนังที่หยาบกร้าน ให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่ม เกิดขึ้นมาแทนที่ บางคนใช้แตงกวาสด ผ่าเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาด แทนน้ำแตงกวา ปัจจุบัน มีน้ำแตงกวาผสมในเครื่องสำอาง เช่น ครีมล้างหน้า ครีมทาตัว เพื่อช้วยให้ผิวไม่หยาบกร้าน และช่วยสมานผิว แตงกวาเป็นสมุนไพร ที่หาง่าย มีประโยชน์ ราคาถูก ใช้ติดต่อกับเป็นประจำ จะทำให้สวนสดชื่น มีน้ำมีนวล

4. มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum Mill.)
ในมะเขือเทศ จะมีสาร Curotenoid และมีวิตามินหลายชนิด น้ำจากผลมะเขือเทศสุก จะมีสาร licopersioin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และแบคทีเรีย และน้ำมะเขือเทศสด นำมาพอกหน้า จะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหน้าก็ได้

5. ขมิ้นชัน (Curcuma Longa Linn.)
ในขมิ้น จะมีสาร Curcumin และมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีกลิ่นเฉพาะ ขมิ้นมีฤทธิ์ยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราหลายชนิด ใช้ทาผิวที่มีผดผื่นคัน ผงขมิ้นใช้ทาตัว เพื่อให้มีสีเหลืองทอง ใช้บำรุงผิว และช่วยฆ่าเชื้อ ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิด ได้อีกด้วย

6. น้ำผึ้ง (Apis dorsata)
ได้จากผึ้ง ประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส ฟรุคโตส ขี้ผึ้ง อัลบูมินอยด์ ละอองเกสรดอกไม้ และฮอร์โมนเอสโตรเจน จำนวนเล็กน้อย น้ำผึ้งใช้เป็นส่วนประกอบ ของเครื่องสำอาง ใช้พอกหน้า ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติช่วยสมานผิว น้ำผึ้ง เป็นเครื่องสำอางจากธรรมชาติ ที่ให้ประโยชน์สูง และหาง่าย นอกจากนี้ ยังใช้น้ำผึ้งบำรุงผม ฮอร์โมนเอสโตรเจน จะช่วยบำรุงหนังศีรษะ และกระตุ้นการงอกของเส้นผม

7. มะขามเปียก (Tamarindus indica Linn)
มะขามเปียกมีประวัติการใช้มายาวนาน ช่วยชำระสิ่งสกปรกจากผิวหนัง เพราะฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ ในมะขาม จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ปัจจุบัน ได้มีหญิงไทยจำนวนมาก ใช้มะขามเปียกผสมน้ำอุ่น และนมสดให้เข้ากันดี พอกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก ฝ่ามือ ที่มีรอยกร้านดำ และบริเวณรักแร้ ขาหนีบ เพื่อให้ผิวหนังที่เป็นรอยดำจางลง ทำให้ผิวขาวนุ่มนวลขึ้น และนมสดจะช่วยบำรุงผิว ให้นุ่มได้

ตะไคร้หอม



ตะไคร้หอม
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymgopogon winterianus Jowitt.
วงศ์ :   Gramineae

ชื่อสามัญ : Citronella Grass

ชื่ออื่น : จะไคมะขูด ตะไครมะขูด  ตะไคร้แดง

ลักษณะ ตะไคร้หอมมีลักษณะส่วนใหญ่คล้ายกับตะไคร้ ต่างกันที่กลิ่น กาบใบและแผ่นใบ กาบใบของตะไคร้หอมมีสีเขียวปนม่วงแดง แผ่นใบกว้าง ยาวและนิ่มกว่าเล็กน้อย ทำให้ปลายห้อยลงปรกดินกว่า ดอกช่อ สีน้ำตาลแดง แทงออกจากกลางต้น ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก



ประโยชน์ทางสมุนไพร ตำรายาไทยใช้เหง้าเป็นยาบีบมดลูก ขับประจำเดือน ขับปัสสาวะ ขับระดูขาว เหง้า ใบและกาบมีน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีขายในชื่อว่า citronella oil ใช้เป็นยากันยุง โดยละลายน้ำ ตะไคร้หอม 7 ส่วนในแอลกอฮอล์เช็ดแผล (70%) 93 ส่วน ฉีดพ่น หรือตำใบสดหมักในแอลกอฮอล์ในอัตราส่วน 1:1 ทาตรงขอบประตูที่ปิดเปิดเสมอ หรือชุบสำลีแขวนเอาไว้หน้าประตูเข้าออก หรือใช้ใบตะไคร้หอมมัดแล้วทุบให้ช้ำวางไว้ตามมุมห้องหรือใต้เตียง นอกจากนี้ยังมีรายงานฤทธิ์ต้านเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคพืชด้วย

รายการบล็อกของฉัน

chat love manman

chat love manman1

chat love manman 2

chat love manman 3

chat love manman 4

chat love manman 5

chat love manman6